วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ซอฟแวร์ที่ใช้ในงานออกแบบ (3 มิติ)

ซอฟเเวร์ที่ใช้งานออกเเบบ

สเก็ตช์อัป (SketchUp) ซอฟต์แวร์ในการพัฒนาวัตถุ 3 มิติ ใช้ในงานสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบเกม และงานออกแบบอื่น ทำงานผ่านระบบ 2 มิติ ออกแบบโดยบริษัท @Last Software สำนักงานใหญ่ที่ เมืองโบลเดอร์ ในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เป็นที่รู้จักในช่วงต้นปี พ.ศ. 2544 ถึงวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2549 บริษัทกูเกิล ได้เข้าซื้อซอฟต์แวร์นี้[1]และมีการเชื่อมต่อโมเดลของสเก็ตช์อัปให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ กูเกิลเอิร์ธ[2] ปัจจุบัน บริษัททริมเบิล นาวิเ ชั่น ได้เข้าซื้อกิจการของ สเก็ตซ์อัป และได้มีการพัฒนาเป็น สเก็ตซ์อัป รุ่น 2013[3]
ข้อดีของสเก็ตช์อัปคือ การใช้งานที่ง่ายและสะดวกเปรียบเทียบกับซอฟต์แวร์ 3 มิติตัวอื่น ปัจจุบัน สเก็ตช์อัป มีอยู่ 2 รุ่น คือ "กูเกิล สเก็ตช์อัป" สามารถโหลดใช้ได้ฟรี ผ่านทางเว็บกูเกิล และรุ่นที่เสียเงินซื้อ คือ "สเก็ตช์อัป โปร" โดยรุ่นนี้จะคำสั่งเพิ่มเติม เช่น การเซฟแอนิเมชัน
คุณสมบัติ






มีซอฟต์แวร์หลายตัวที่ช่วยในการเรนเดอร์ในภาพเครื่องบินสร้างในสเก็ตช์อัป และเรนเดอร์ใน Kerkythea
คุณสมบัติหลักของซอฟต์แวร์ได้แก่
การสร้างวัตถุ 3 มิติ จาก การวาด 2 มิติ
การใส่และเปลี่ยนวัสดุโดยการเลือกจากกล่องข้อมูล
การใส่เงาให้วัตถุตามตำแหน่งของดวงอาทิตย์ ตามวันเวลาใดๆ ของปี
คำสั่งเพิ่มเติมสามารถเขียนเพิ่มและเรียกใช้ผ่านทาง ภาษารูบี้
นอกจากนี้โมเดลที่ผู้ใช้แต่ละคนสร้าง สามารถมาแชร์ออนไลน์และสามารถนำมาใช้งานบนกูเกิลเอิร์ธได้ผ่านทาง เว็บไซต์ของ "กูเกิล 3D แวร์เฮาส์" (Google 3D Warehouse)


ซอฟแวร์ที่ใช้ในงานออกแบบ (2 มิติ)


Phoshop คืออะไร


                โปรแกรมPhotoshopเป็นโปรแกรมสร้างและแก้ไขรูปภาพอย่างมืออาชีพโดยเฉพาะนักออกแบบในทุกวงกาย่อมรู้จักโปรแกรมตัวนี้ดี โปรแกรม Photoshop เป็นโปรแกรมที่มีเครื่องมือมากมายเพื่อสนับสนุนการสร้างงานประเภทสิ่งพิมพ์ งานวิดีทัศน์ งานนำเสนอ งานมัลติมีเดีย ตลอดจนงานออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ ในชุดโปรแกรม Adobe Photoshopจะประกอบด้วยโปรแกรมสองตัวได้แก่ Photoshop และ ImageReady การที่จะใช้งานโปรแกรม Photoshopคุณต้องมีเครื่องที่มีความสามารถสูงพอควร มีความเร็วในการประมวลผล และมีหน่วยความจำที่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นการสร้างงานของคุณคงไม่สนุกแน่ เพราะการทำงานจะช้าและมีปัญหาตามมามากมาย ขณะนี้โปรแกรม Photoshop ได้พัฒนามาถึงรุ่น Adobe Photoshop CS
ที่มา http://www.kados.th.gs/web-k/ados/Phoshop.html

ลักษณะหน้าต่างของโปรเเกรม

               เมื่อเรียกใช้งานโปรแกรม Adobe PhotoShop (ตัวอย่างที่แนะนำคือ Adobe PhotoShop 6.0) จะปรากฏหน้าต่างการทำงาน ดังนี้
               





1.Title Bar แสดงชื่อโปรแกรม และ/หรือ ชื่อไฟล์ ตลอดจนค่าเกี่ยวกับโหมดภาพ

2.Control Button ปุ่มควบคุมหน้าต่าง ประกอบด้วยปุ่ม Minimize, Maximize/Restore, Close Button


3.Menu Bar แถบคำสั่งควบคุมการทำงาน

4.Toolbox แถบเครื่องมือ

5.Workarea Window หน้าต่างสร้างงาน

6.Screen Area หน้าต่างโปรแกรม


7.Palettes ชุดคำสั่งเฉพาะงาน

8.Status Bar แสดงสถานะการทำงาน

9.Option Bar แสดงชุดคำสั่งย่อยของเครื่องมือที่เลือกใช้งาน



เครื่องมือจากแถบ Toolbars







                  Zoom ใช้ในการขยายภาพวัตถุเข้า-ออก เพื่อให้เราสามารถมองเห็นงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อต้องการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นให้นำเคอร์เซอร์ไปคลิกที่ภาพ
ถ้าต้องการทำให้ภาพเล็กลง ให้กด ค้างไว้แล้วจึงไปคลิกที่ภาพ
หาก Double Click ที่เครื่องมือ zoom จะเป็นการขยายภาพให้สู่โหมด 100% อย่างรวดเร็ว

                  Hand ใช้ในการเลื่อนภาพ ในกรณีที่ภาพมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถมองได้ทั่วถึง
หากทำการ Double Click ที่เครื่องมือ Hand จะเป็นการปรับหน้าจอภาพ ให้อยู่ในโหมดพอดีกับกรอบภาพ (Actual Size)




                  Selection เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างขอบเขต ซึ่งจะมีให้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับงานที่เราต้องการสร้างสามารถ Double Click เพื่อเปิดหน้าต่างควบคุม (Options) ประกอบการทำงาน เช่น กำหนดค่าความฟุ้งของขอบ (Feather) เป็นต้น




Move ใช้ในการย้ายภาพที่เราทำงานอยู่

การปรับขนาดของภาพ


                   ภาพที่นำมาใช้ประกอบเว็บ ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไป หากท่านนำภาพมาใช้งาน และพบว่ามีขนาดใหญ่มาก ควรทำการย่อขนาดของภาพด้วย PhotoShop ก่อนนำไปใช้งานจริง ไม่ควรใช้ Attribute Width & Height ใน TAG  ควบคุมขนาด เพราะจะทำให้ การโหลดภาพช้ากว่าปกติ โดยคำสั่งที่ใช้ในการย่อ / ขยายขนาดภาพ คือ Image, Image Size... ซึ่งปรากฏจอภาพทำงานดังนี



การใช้สี



เครื่องมือแรกที่อยู่ใน Tool Bar ที่เกี่ยวกับสีคือ



เมื่อคลิกเข้าไปใน Foreground/Background Color จะเจอกับ Color Picker เพื่อใช้ในการเลือกสีที่ต้องการ



- คลิกเลือกสีที่ต้องการแล้วกดปุ่ม OK
- สามารถกดที่ปุ่ม Default color เพื่อคืนค่าสีเป็น "ขาว/ดำ"
- สามารถกดปุ่ม Swap color เพื่อกลับค่าสีที่เลือก



เรายังสามารถเลือกสีได้จาก Palette Color และ Swatches โดยการเข้าไปที่เมนู Window / Show Color, Show Swatches



คำสั่งปรับแต่งภาพ
ภาพที่ผ่านการสแกน หรือภาพจากแหล่งอื่นๆ ก่อนนำมาใช้งาน มักจะต้องปรับแต่งสีก่อนเสมอ ด้วยคำสั่ง Image, Adjust


Levels เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ โดยการเติมสีขาว-ดำลงไป ซึ่งเราจะใช้กราฟ Histogram ในการปรับระดับสี




กด Alt ค้างไว้ จะเปลี่ยนปุ่ม Cancel เป็น Reset ทำให้กลับไปที่ค่าเริ่มต้น


Auto Levels เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะคำนึงถึงระดับความสว่างและมืดของสีในแต่ละ Channel


Auto Contrast เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะคำนึงถึงพื้นที่ที่สวางและมืดของภาพ แล้วปรับให้เห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้น



Curves เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ คล้ายกับ Levels โดยการใช้เส้น Curves เป็นตัวกำหนด ซึ่ง


Color Balance เป็นการปรับแต่งความสมดุลของสีภาพ โดยใช้โหมดสีเป็นตัวกำหนด เช่น CMYK, RGB..


Brightness/Contrast เป็นการปรับค่าความสว่าง-มืด และความแตกต่างของสีโดยรวม



Hue/Saturation เป็นการปรับแต่งโทนสีโดยคำนึงถึงพื้นฐานการมองเห็นของมนุษย์คือ
Hue = ค่าความสะท้อนแสง
Saturation = ความเข้มข้นของสี
Brightness = ความสว่าง-มืด



Desaturate เป็นการเอาค่าสีออกจากภาพให้เหลือแต่สีขาว-ดำ โดยที่โหมดภาพจะยังคงเดิม



Replace Color เป็นการแทนที่สีในภาพด้วยสีใหม่





Channel Mixer เป็นการปรับแต่งโทนสีแต่ละสีโดยใช้โหมดสีเป็นตัวกำหนด เช่น CMYK,RGB

Invert เป็นการปรับสีในภาพให้เป็นสีตรงข้าม


Equalize เป็นการกระจายค่าความสว่าง-มืดของภาพ ให้มีค่าเท่ากัน มักใช้กับภาพที่สแกนมา


Threshold เป็นการเปลี่ยนภาพสี ให้เป็นภาพที่มีแต่สีขาว-ดำ โดยใช้ค่า Threshold เป็นตัวกำหนด


การตัดภาพ

             การนำเอาภาพขนาดใหญ่ มาใส่ในเว็บเพจ ไม่ใช่วิธีที่ดีของการนำเสนอ เพราะจะทำให้การโหลดภาพเสียเวลามาก วิธีที่ดีที่สุด คือ ควรตัดภาพเป็นชิ้นเล็ก แล้วนำภาพมาประกอบกันเป็นชิ้นอีกครั้ง ด้วยเทคนิคการประกอบภาพผ่านเอกสารเว็บ ดังนั้นเนื้อหานี้จะแนะนำการตัดภาพ เป็นส่วนๆ ก่อน เพื่อเป็นแนวทาง และเป็นการเตรียมภาพขั้นต้น ไว้ก่อน

1. เตรียมภาพที่ต้องการ และเปิดไว้บนหน้าต่างการทำงานของ Adobe Photoshop
2. ขยายหน้าต่างภาพ ให้เห็นพื้นที่ว่างรอบภาพ
3. เปิดแถบบรรทัด ด้วยคำสั่ง View, Show Rulers
4. เลือกเครื่องมือ Move Tool 
5. นำเมาส์ไปชี้ในแถบไม้บรรทัด คลิกปุ่มเมาส์ค้างไว้ แล้วลากเมาส์ (กรณีที่ชี้ที่บรรทัดแนวนอน ก็ให้ลากเมาส์ลงมา และกรณีที่ชี้ในไม้บรรทัดแนวตั้ง ก็ให้ลากเมาส์ไปด้านขวา) จะปรากฏเส้นนำสายตา (Guide Line : มักเป็นสีน้ำเงิน)
6. เลื่อนเส้นนำสายตา ไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมของภาพ แล้วปล่อยนิ้วจากเมาส์ เพื่อยืนยันตำแหน่
7. หากต้องการตำแหน่งอื่น ก็ทำขั้นตอนที่ 5 - 6 ซ้ำ จนได้ครบทุกตำแหน่ง
8. ถ้าต้องการปรับตำแหน่งของเส้นนำสายตา ที่วางไว้แล้ว ให้นำเมาส์ไปชี้ที่เส้นนั้นๆ จะพบว่า Mouse Pointer มีรูปร่างเป็นลูกศรสองหัว ให้กดปุ่มเมาส์ค้างไว้ แล้วปรับตำแหน่ง
9. ถ้าต้องการลบเส้นนำสายตาเส้นใด ให้นำเมาส์ลากเส้นนำสายตาเส้นที่ต้องการ ไปปล่อยในแถบไม้บรรทัด
10. หากต้องการลบเส้นนำสายตาทุกเส้น ให้เลือกคำสั่ง View, Clear Guides
11. ตรวจสอบว่าภาพมีการกำหนดเป็น Layer หรือไม่ หากเป็น Layer จะต้องทำการรวม Layer ก่อน ด้วยคำสั่ง Layer, Flatten Image
12. เปลี่ยนเครื่องมือเป็น Selection Tools ที่ต้องการ เช่น 
13. กำหนดพื้นที่รอบกรอบที่กำหนดไว้ ทีละกรอบ
14. เลือกคำสั่ง Edit, Copy เพื่อคัดลอกข้อมูลที่เลือก ไว้ใน Clipboard
15. เลือกคำสั่ง File, New เพื่อเปิดพื้นที่งานใหม่ โดยไม่ต้องตั้งค่าใดๆ ให้กดปุ่ม ได้เลย
16. เลือกคำสั่ง Edit, Paste เพื่อวางข้อมูลจาก Clipboard บนหน้าต่างที่เตรียมไว้
17. จัดเก็บงาน ด้วยไฟล์ฟอร์แมตที่ต้องการ
18. ทำขั้นตอนที่ 13 - 17 ซ้ำ กับภาพตำแหน่งอื่น

การใส่ลักษณะพิเศษให้กับข้อความ

ข้อความต่างๆ สามารถเติมลักษณะพิเศษได้ เช่น อักษรนูน, มีเงา เป็นต้น
1. เปิด Layer Palette
2. คลิกเลือกเลเยอร์ที่ต้องการ
3. คลิกที่ปุ่ม Add a Layer Style ด้านล่างของ Layer Palette
4. เลือกรายการ Layer Style ที่ต้องการ
5. ปรากฏหน้าต่าง Layer Style ที่เลือก เช่น เมื่อเลือก Drop Shadow จะปรากฏรายการเลือก ดังนี้



6. ปรับค่าที่ต้องการ สามารถสังเกตผลที่เลือก ได้จากข้อความจริง เมื่อได้ผลที่ต้องการให้คลิกปุ่ม OK

7. การยกเลิก Style ที่เลือก ให้คลิกเอาเครื่องมือถูกออกจากรายการ Style ที่ปรากฏด้านซ้ายมือของหน้าต่าง Layer Style

เทคโนโลยีสะอาด

เทคโนโลยีสะอาด

ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง ดังนั้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีการพิจารณาถึง ทางออกที่ลงตัวระหว่างปัญหาทางเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม และพัฒนามาเป็นหลักการของเทคโนโลยีสะอาด (Clean(er) Technology, CT) หรือ การผลิตที่สะอาด (Clean(er) Production, CP) หรือการป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention, P2) หรือการลดของเสียให้น้อยที่สุด (Waste Minimization) ซึ่งคำเหล่านี้มีความหมายเดียวกันในการที่จะใช้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้ใช้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
เทคโนโลยีสะอาด คืออะไร
            เทคโนโลยีสะอาด คือ กลยุทธ์ที่ใช้ในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้วัตถุดิบ และพลังงานในการผลิต ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิต โดยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดของเสียที่แหล่งกำเนิด เป็นการลดภาระในการกำจัดของเสีย  ช่วยประหยัดวัตถุดิบและพลังงาน เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ป้องกันและรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งช่วยสร้างภาพพจน์ที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกทั้งเป็นการพัฒนาขีดความสามารถ และประสิทธิภาพของการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวไปสู่มาตรฐาน ISO 14000 ของอุตสาหกรรมอีกด้วย



หลักการของเทคโนโลยีสะอาด
            หลักการของเทคโนโลยีสะอาดเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การลดการใช้พลังงาน การใช้น้ำและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งจะเห็นว่าหลักการของเทคโนโลยีสะอาดเป็นการป้องกันปัญหามากกว่าการแก้ปัญหานั่นเอง  โดยหลักการของเทคโนโลยีสะอาด สรุปได้ดังนี้
1.  การลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด แบ่งได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ คือ การเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต
1.1  การเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ อาจทำได้โดยการออกแบบให้มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด หรือให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น


1.2  การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่


      1.2.1  การเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบ โดยการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ หรือมีความบริสุทธิ์สูง รวมทั้งลดหรือยกเลิกการใช้วัตถุดิบที่เป็นอันตราย เพื่อหลีกเลี่ยงการเติมสิ่งปนเปื้อนเข้าไปในกระบวนการผลิต และพยายามใช้วัตถุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้


      1.2.2  การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ทำได้โดยการออกแบบใหม่ เพิ่มระบบอัตโนมัติเข้าช่วยปรับปรุงคุณภาพของอุปกรณ์ และแสวงหาเทคโนโลยีใหม่มาใช้

      1.2.3  การปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน เป็นขั้นตอนที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เสียลดลง และยังทำให้เกิดของเสียที่จะต้องจัดการกำจัดลดน้อยลง โดยกำหนดให้มีขั้นตอนการผลิตกระบวนการงานและขั้นตอนบำรุงรักษาที่ชัดเจน รวมถึงการจัดระบบ การบริหารการจัดการในโรงงาน

2.  การนำกลับมาใช้ใหม่ แบ่งออกได้เป็น 2 แนวทาง คือ
2.1  การใช้ผลิตภัณฑ์หมุนเวียน โดยหาทางนำวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพมาใช้ประโยชน์ หรือหาทางใช้ประโยชน์จากสารหรือวัสดุที่ปนอยู่ในของเสีย โดยนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเดิม หรือกระบวนการผลิตอื่นๆ
2.2  การใช้เทคโนโลยีหมุนเวียน เป็นการนำเอาของเสียผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อนำเอาทรัพยากรกลับมาใช้อีก หรือเพื่อทำให้เป็นผลพลอยได้
แนวทางของเทคโนโลยีสะอาด
            แนวคิดของเทคโนโลยีสะอาด คือการป้องกันมลพิษที่แหล่งกำเนิด และการลดปริมาณสารเคมีที่ใช้ให้น้อยที่สุด ในการกำจัดมลพิษจากอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยทำได้ตามขั้นตอนโดยเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย ดังนี้
1. การลดที่แหล่งกำเนิด      2. การใช้หมุนเวียน
3. การบำบัด                          4. การปล่อยทิ้ง       
 การแก้ปัญหาตามแนวทางเทคโนโลยีสะอาดจะเน้นการลดที่ต้นเหตุ กล่าวคือเน้นที่การลดปริมาณการใช้ทรัพยากรลง โดยใช้ปริมาณที่พอดีและเหลือเป็นของเสียน้อยที่สุด ของเสียที่ออกมาต้องนำมาผ่านกระบวนการเพื่อจะนำกลับมาใช้ใหม่ จะทำให้ลดปริมาณของเสียและต้นทุนของการใช้สารเคมีให้น้อยลง ของเสียที่ยังคงเหลืออยู่ต้องผ่านกระบวนการบำบัดจนมีคุณสมบัติดีพอที่จะปล่อยทิ้งได้  การลดการใช้และการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จึงเป็นแนวทางหลักของเทคโนโลยีสะอาดมากกว่าการแก้โดยการบำบัดดังเช่นที่ทำกันโดยทั่วไป ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของโรงงานอุตสาหกรรมด้วย

เทคนิคของเทคโนโลยีสะอาด
            เทคโนโลยีสะอาด จะเน้นการลดที่แหล่งกำเนิดและการนำกลับมาใช้ใหม่ โดยในการทำจะต้องมีการศึกษาถึงกระบวนการผลิต เพื่อหาแนวทางที่จะปรับปรุงกระบวนการในการลดการใช้และการนำกลับมาใช้ใหม่ของพลังงาน สารเคมี หรือน้ำ
            ในการเสนอทางเลือกเทคโนโลยีสะอาด (CT option) และการดำเนินงานในการนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ มีขั้นตอนในการประยุกต์ใช้ตามหลักของเทคโนโลยีสะอาด 5 ขั้นตอน คือ
1.       การวางแผนและการจัดองค์กร (Planning & Organization)
2.       การประเมินเบื้องต้น (Pre-Assessment)
3.       การประเมินผล (Assessment)
4.       การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility)
5.       การลงมือปฏิบัติ (Implementation)


หลังจากที่มีการตัดสินใจที่จะใช้เทคโนโลยีสะอาดในอุตสาหกรรม ต้องมีการวางแผนและจัดการ มีการสำรวจข้อมูล ทำการประเมินเบื้องต้น และทำการประเมินในขั้นตอนต่อมา โดยในขั้นตอนการประเมินเบื้องต้นและการประเมินเกี่ยวข้องกับการสร้างแผนภาพกระบวนการผลิต (Process Flow Chart) พิจารณาการป้อนเข้า (Input) และการจ่ายออก (Output) ของแต่ละปฏิบัติการหน่วย (Unit operation) และสมดุลมวลสารและสมดุลพลังงานขึ้น ทำให้สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุและปริมาณของ ของเสียที่ได้จากกระบวนการผลิตเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาต่อไป โดยทางเลือกที่นำเสนอต้องมีความเป็นไปได้ในทางเศรษฐศาสตร์ ไม่มีการลงทุนที่สูงเกินไป และสามารถคืนทุนได้ในระยะสั้น เมื่อวิธีการสอดคล้องกับเศรษฐศาสตร์จึงลงมือปฏิบัติการ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

 การเริ่มต้นประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสะอาด
         1.       ผู้บริหารเห็นความสำคัญและมีความมุ่งมั่น
         2.       พนักงานมีความเข้าใจ และเห็นความสำคัญ
         3.       ระบุสาเหตุ แนวโน้มของปัญหาการใช้ทรัพยากรของเสียและสิ่งแวดล้อม
         4.       ประเมินวิธีการแก้ไข ปรับปรุงโดยอาศัยความรู้แขนงต่างๆ


         5.       เริ่มดำเนินการในส่วนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ หรือคุ้มค่าสูงสุด




การนำเทคโนโลยีสะอาดในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไร รวมทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย โดยหลักการที่สำคัญของเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ การลดมลพิษที่แหล่งกำเนิดและการนำกลับมาใช้ใหม่ (การใช้หมุนเวียน)

5W1H

5W1H

5W1H: วิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อรวบรวมและนำเสนอข้อมูลที่สำคัญ


5W1 หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้มากที่สุดในระดับสากลสำหรับการรวบรวมข้อมูล,วิเคราะห์และการนำเสนอเป็นกรอบ 5W1H
วิธีนี้จะใช้ในช่วงของกระบวนการนักวิเคราะห์วิศวกรที่มีคุณภาพที่จะเข้าใจและอธิบายความจริงปัญหาใด ๆ หรือปัญหาวิธีการเดียวกันสามารถที่ใช้ในการจัดระเบียบการเขียนของรายงานบทความเอกสารและแม้ทั้งหนังสือ
วิธีการพื้นฐาน

                  วิธีการนี้พยายามที่จะตอบคำถามพื้นฐานในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ของ: ใครอะไรเมื่อไหร่ที่ไหนทำไมและวิธีการ บางครั้งขึ้นอยู่กับบริบทที่สอง"H"อย่างไร

What.
                คือเรื่องหลักของการรวบรวมข้อมูลเหตุผลและการนำเสนอ อาจจะเป็นที่ระบุไว้ในชื่อเรื่องและวัตถุประสงค์ อาจต้องจะกำหนดกระบวนการที่อาจประกอบด้วยส่วนที่เหลือของเอกสาร

Who.
               สิ่งแวดล้อมอื่นๆ คนหรือกลุ่มความกังวลมันอาจอธิบายเอกสารหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการหรือขั้นตอน

When.
               หมายถึงเมื่อไหร่ในเวลาใดที่เกี่ยวข้อง มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งกับจุดที่เหมาะสมที่จะต้องดำเนินการ บางครั้งมันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ของการกระทำตามเงื่อนไข
Where.
เหตุการณ์หรือกระบวนการนั้น เกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ 
Why.
                เหตุใดถึงทำสิ่งนั้นหรือ เพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์นั้นๆ อาจมีการพิจารณาที่ไม่เกี่ยวข้องอาจจะเกิดจากนโยบายหรือขั้นตอน
How.
               เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เมื่ออธิบายนโยบายกระบวนการหรือขั้นตอนอาจ
เป็นส่วนสำคัญที่สุด
Conclusion.
5W1H   สามารถนำไปใช้หัวข้อใด ๆ เพื่อรวบรวมวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลจากข้อมูลที่ซับซ้อนทำให้เป็นข้อมูลง่าย

ตัวอย่างการออกแบบ


ตัวอย่างการออกแบบเทคโนโลยี

       การจัดกลุ่มของเทคโนโลยี
       เทคโนโลยีมีมากมายหลายชนิดเช่น เทคโนโลยีวัสดุ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีพันธุกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น การจัดกลุ่มของเทคโนโลยีเมื่อพิจารณา จากองค์ประกอบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.      เทคโนโลยีที่เป็นการสร้าง ได้แก่ การที่มนุษย์ได้สร้างสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยใช้
ความรู้ ทักษะและประสบการณ์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
2.      เทคโนโลยีที่เป็นวิธีการ ได้แก่ การที่มนุษย์ได้เลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่งในการทำงาน เพื่อให้
ได้รับความสะดวกสบาย มีชีวิตที่ง่ายขึ้น เช่น การซักผ้าอาจจะซักด้วยมือหรือใช้เครื่องซักผ้า
กระบวนการออกแบบเทคโนโลยี
      กระบวนการออกแบบและการใช้เทคโนโลยี เป็นขั้นตอนที่จะช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน มีความเหมาะสมกับการแก้ปัญหาในการออกแบบและการนำเทคโนโลยี วัสดุอุปกรณ์มาใช้ กระบวนการออกแบบอย่างเป็นระบบมีลักษณะดังนี้
กระบวนการทำงานเบื้องต้นของการออกแบบและเทคโนโลยี
เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง กระบวนการทางเทคโนโลยีจัดเป็นส่วนหนึ่งของระบบเทคโนโลยี ซึ้งระบบเทคโนโลยีจะประกอบด้วยขั้นตอน คือ Input Process และ Output
จากขั้นตอนกระบวนการทำงานเบื้องต้นของการออกแบบและเทคโนโลยีด้านบน
ในการปฏิบัติงานจริง เพื่อให้ได้ผลงานที่ดี
กระบวนการทำงานจึงมีการตรวจสอบการปฏิบัติงาน ดังนี้
ตัวอย่าง
       ระบบเทคโนโลยี (Technology System) นอกจากจะประกอบด้วย 3 กระบวนการแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการได้แก่
1. ทรัพยากร (Resource) เช่น คน สารสนเทศ วัสดุ เครื่องมือเครื่องจักร พลังงาน ทุน เวลา
2. ปัจจัย (Constraint)
         2.1 ปัจจัยที่ส่วนส่งเสริม เพื่อให้ได้ผลที่ดีและมีคุณภาพ
         2.2 ปัจจัยขวาง (Constraint) เป็นปัจจัยที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการหรือข้อจำกัดต่าง ๆ หรือสิ่งที่ต้องคำนึงถึง
ปัจจัย (Constraint)
–  (ขัดขวาง)
+ (เอื้อ)
1. เวลาที่จำกัด
2.เครื่องจักรที่ขาดประสิทธิภาพ
1. มีเงินทุนจำนวนมากเพียงพอ
2. มีบุคคลากรที่มีความสามารถ

ตัวอย่างกระบวนการทางเทคโนโลยีการออกแบบโคมไฟประดิษฐ์
ขั้นที่ 1.  กำหนดปัญหาและความต้องการ
–                   ทำโคมไฟที่มีลักษณะ และรูปร่างแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร
–                   ทำโคมไฟที่สามารถทำได้ง่ายและสามารถทำได้ด้วยตนเอง
–                   วัสดุอุปกรณ์หาได้ทั่วไป
ขั้นที่ 2. รวบรวมข้อมูล แสวงหาวิธีการแก้ปัญหา
–                   ทำเป็นทรงกระบอก
–                   ทำเป็นทรงสี่เหลี่ยม
–                   ทำเป็นทรงกลม
–                   ทำเป็นทรงสามเหลี่ยม
–                   ทำเป็นทรงห้าเหลี่ยม
ขั้นที่ 3. เลือกวิธีแก้ปัญหา
–                   ทำโคมไฟทรงกระบอก
–                   ใช้กระดาษลูกฟูกทำ
ขั้นที่ 4. ออกแบบและปฏิบัติการ
ขั้นที่ 5. ทดสอบ
–                   โคมไฟที่ได้จะมีแสงน้อยมาก ไม่ค่อยสว่าง
ขั้นที่ 6. ปรับปรุงแก้ไข
–                   กรีดรูให้กว้างขึ้น และฉีดสีสเปรย์สีทองเพิ่ม
ขั้นที่ 7. ประเมินผล
ได้โคมไฟประดิษฐ์ที่สวยงาม ทำจากวัสดุที่หาได้ง่ายตามร้านค้า ตามรูปแบบที่ต้องการ

การออกแบบ

 การออกแบบ (Design)

        การออกแบบ หมายถึงอะไรนั้น ขอยกตัวอย่างคนที่เคยคิดและเขียนบอกเอาไว้แล้วเช่น โกฟ (Gove, 1965::165) เค้าบอกไว้ว่า การออกแบบเป็นการจัดแต่งองค์ประกอบมูลฐานในการสร้างงานศิลปกรรม เครื่องจักร หรือประดิษฐกรรมของมนุษย์
        การออกแบบจะทำให้ 
เราสามารถถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็นผลงาน ที่ผู้อื่น สามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้ เพื่อให้มีความเข้าใจในผลงานร่วมกัน
ความสำคัญของการออกแบบ เช่น        - ในแง่ของการวางแผนการการทำงาน งานออกแบบจะช่วยให้การทำงานเป็นไปตาม ขั้นตอน อย่างเหมาะสม และประหยัดเวลา ดังนั้นอาจถือว่าการออกแบบ คือ การวาง แผนการทำงานก็ได้
        - ในแง่ของการนำเสนอผลงาน ผลงานออกแบบจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องมีความเข้าใจ ตรงกันอย่างชัดเจน ดังนั้น ความสำคัญในด้านนี้ คือ เป็นสื่อความหมายเพื่อความเข้าใจ ระหว่างกัน
        - เป็นสิ่งที่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับงาน งานบางประเภทอาจมีรายละเอียดมากมาย ซับซ้อน ผลงานออกแบบจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง และผู้พบเห็นมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า ผลงานออกแบบ คือ ตัวแทนความคิดของผูออกแบบได้ทั้งหมด
        - แบบ จะมีความสำคัญอย่างที่สุด ในกรณีที่ นักออกแบบกับผู้สร้างงานหรือผู้ผลิต เป็นคนละคนกัน เช่น สถาปนิกกับช่างก่อสร้าง นักออกแบบกับผู้ผลิตในโรงงาน หรือถ้าจะเปรียบไปแล้ว นักออกแบบก็เหมือนกับคนเขียนบทละครนั่นเอง

แบบ เป็นผลงานจากการออกแบบ เป็นสิ่งที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และฝีมือของ นักออกแบบ แบบมีอยู่หลายลักษณะ ดังนี้ คือ
        1. เป็นภาพวาดลายเส้น (drawing) ภาพระบายสี (Painting) ภาพถ่าย (Pictures) หรือแบบร่าง (Sketch) แบบที่มีรายละเอียด (Draft) เช่น แบบก่อสร้าง ภาพพิมพ์ (Printing) ฯลฯ ภาพต่าง ๆ ใช้แสดงรูปลักษณะของงาน หรือแสดงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับงาน ที่เป็น 2 มิติ
        2. เป็นแบบจำลอง (Model) หรือของจริง เป็นแบบอีกประเภทหนึ่งที่ใช้แสดง รายละเอียดของงานได้ชัดเจนกว่าภาพต่าง ๆ เนื่องจากมีลักษณะเป็น 3 มิติ ทำให้ สามารถเข้าใจในผลงานได้ดีกว่า นอกจากนี้ แบบจำลองบางประเภทยังใช้งานได้ เหมือนของจริงอีกด้วยจึงสมารถใช้ในการทดลอง และทดสอบการทำงาน เพื่อหา ข้อบกพร่องได้

ประเภทของการออกแบบ
        1. การออกแบบทางสถาปัตยกรรม (Architecture Design)
เป็นการออกแบบเพื่อ การก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นักออกแบบสาขานี้ เรียกว่า สถาปนิก (Architect) ซึ่ง โดยทั่วไปจะต้องทำงานร่วมกับ วิศวกรและมัณฑนากร โดยสถาปนิก รับผิดชอบเกี่ยว กับประโยชน์ใช้สอยและความงามของสิ่งก่อสร้าง งานทางสถาปัยตกรรมได้แก่
                - สถาปัตยกรรมทั่วไป เป็นการออกแบบสิ่งก่อสร้างทั่วไป เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า โบสถ์ วิหาร ฯลฯ
                - สถาปัตยกรรมโครงสร้าง เป็นการออกแบบเฉพาะโครงสร้างหลักของอาคาร
                - สถาปัตยกรรมภายใน เป็นการออกแบบที่ต่อเนื่องจากงานโครงสร้าง ที่เป็นส่วนประกอบของอาคาร
                - งานออกแบบภูมิทัศน์ เป็นการออกแบบที่มีบริเวณกว้างขวาง เป็นการจัดบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม
                - งานออกแบบผังเมือง เป็นการออกแบบที่มีขนาดใหญ่ และมีองค์ประกอบซับซ้อน ซึ่งประกอบ ไปด้วยกลุ่มอาคารจำนวนมาก ระบบภูมิทัศน์ ระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ

        2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design)
เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ ชนิดต่าง ๆงานออกแบบสาขานี้ มีขอบเขตกว้างขวางมากที่สุด และแบ่งออกได้มากมาย หลาย ๆ ลักษณะ นักออกแบบรับผิดชอบเกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามของ ผลิตภัณฑ์ งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
                - งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์
                - งานออกแบบครุภัณฑ์
                - งานออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์
                - งานออกแบบเครื่องใช้สอยต่างๆ
                - งานออกแบบเครื่องประดับ อัญมณี
                - งานออกแบบเครื่องแต่งกาย
                - งานออกแบบภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์
                - งานออกแบบผลิตเครื่องมือต่าง ๆ ฯลฯ

        3. การออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering Design)เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน ต้องใช้ ความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีในการผลิตสูง ผู้ออกแบบคือ วิศวกร ซึ่งจะรับผิดชอบ ในเรื่องของประโยชน์ใช้สอย ความปลอดภัยและ กรรมวิธีในการผลิต บางอย่างต้องทำงาน ร่วมกันกับนักออกแบบสาขาต่าง ๆ ด้วย งานอกแบบประเภทนี้ได้แก่
                - งานออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า
                - งานออกแบบเครื่องยนต์
                - งานออกแบบเครื่องจักรกล
                - งานออกแบบเครื่องมือสื่อสาร
                - งานออกแบบอุปกณ์อิเลคทรอนิคส์ต่าง ๆ ฯลฯ

        4. การออกแบบตกแต่ง (Decorative Design)
เป็นการออกแบบเพื่อการตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น นักออกแบบเรียนว่า มัณฑนากร (Decorator) ซึ่งมักทำงานร่วมกับสถาปนิก งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
                - งานตกแต่งภายใน (Interior Design)
                - งานตกแต่งภายนอก (Exterior Design)
                - งานจัดสวนและบริเวณ ( Landscape Design)
                - งานตกแต่งมุมแสดงสินค้า (Display)
                - การจัดนิทรรศการ (Exhibition)
                - การจัดบอร์ด
                - การตกแต่งบนผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น ฯลฯ

        5. การออกแบบสิ่งพิมพ์ (Graphic Design)
เป็นการออกแบบเพื่อทางผลิตงานสิ่งพิมพ์ ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ หนังสือ หนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ นามบัตร บัตรต่าง ๆ งานพิมพ์ลวดลายผ้า งานพิมพ์ภาพลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ งานออกแบบรูปสัญลักษณ์ เครื่องหมายการค้า ฯลฯ

กระบวนการเทคโนโลยี

กระบวนการเทคโนโลยีคืออะไร

      ในชีวิตประจำวันของมนุษย์มีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมายตามเงื่อนไขและปัจจัยในการดำรงชีวิตของแต่ละคน ทำให้บางครั้งมนุษย์ต้องพบเจอกับปัญหาหรือความต้องการที่จะทำให้การดำรงชีวิตดีขึ้น เราเรียกว่า “สถานการณ์เทคโนโลยี"
การพิจารณาว่าสถานการณ์ใดเป็นสถานการณ์เทคโนโลยี จะพิจารณาจาก 3 ประเด็นคือ เป็นปัญหาหรือความต้องการของมนุษย์ เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม หรือเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์
การแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่พบในสถานการณ์เทคโนโลยี จะต้องใช้ทรัพยากร ความรู้และทักษะต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องมีวิธีการหรือกระบวนการทำงานในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการอย่างเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งเรียกกระบวนการนั้นว่า “กระบวนการเทคโนโลยี”

กระบวนการเทคโนโลยีมีกี่ขั้นตอน

       กระบวนการเทคโนโลยี เป็นขั้นตอนการทำงานเพื่อสร้างสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการของมนุษย์ กระบวนการเทคโนโลยี ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. กำหนดปัญหาหรือความต้องการ (Identify the problem)
2. รวบรวมข้อมูล (Information gathering)
3. เลือกวิธีการ (Selection)
4. ออกแบบและปฏิบัติการ (Design and making)
5. ทดสอบ (Testing)
6. ปรับปรุงแก้ไข (Modification and improvement)
7. ประเมินผล (Assessment)

ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหาหรือความต้องการ
      ขั้นตอนแรกของกระบวนการเทคโนโลยี คือ การกำหนดปัญหาหรือความต้องการ ซึ่งเป็นการทำความเข้าใจหรือวิเคราะห์ปัญหาหรือความต้องการหรือสถานการณ์เทคโนโลยีอย่างละเอียด เพื่อกำหนดกรอบของปัญหาหรือความต้องการให้ชัดเจนมากขึ้น

ขั้นที่ 2 รวบรวมข้อมูล
      การรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการที่กำหนดไว้ในขั้นกำหนดปัญหาหรือความต้องการจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ศึกษาจากตำรา วารสาร บทความ สารานุกรม สืบค้นจากอินเทอร์เน็ต ระดมสมองจากสมาชิกในกลุ่ม โดยควรมีการรวบรวมข้อมูลรอบด้านให้ครอบคลุมปัญหาหรือความต้องการ ซึ่งจะทำให้เราสามารถสรุปวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการได้ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น

ขั้นที่ 3 เลือกวิธีการ
      การเลือกวิธีการ เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการมากที่สุด โดยใช้กระบวนการตัดสินใจเลือกจากวิธีการที่สรุปได้ในขั้นรวบรวมข้อมูล ประเด็นที่ควรนำมาพิจารณาคือ ข้อดี ข้อเสีย ความสอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่ ความประหยัด และการนำไปใช้ได้จริงของแต่ละวิธี เช่น ทำให้ดีขึ้น สะดวกสบายหรือรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ควรพิจารณาคัดเลือกวิธีการโดยใช้กรอบของปัญหาหรือความต้องการมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือก

ขั้นที่ 4 ออกแบบและปฏิบัติการ
      การออกแบบและปฏิบัติการเป็นการถ่ายทอดความคิดหรือลำดับความคิดหรือจินตนาการให้เป็นขั้นตอน เกี่ยวกับวิธีการ แก้ปัญหาหรือสนองความต้องการโดยละเอียด โดยใช้การร่างภาพ 2 มิติ การร่างภาพ 3 มิติ การร่างภาพฉาย แบบจำลอง หรือแบบจำลองความคิด และวางแผนการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอน จากนั้นลงมือสร้างตามแนวทางที่ได้ถ่ายทอดความคิดและวางแผนการปฏิบัติงานไว้ ผลงานที่ได้อาจเป็นชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการ

ขั้นที่ 5 ทดสอบ
      การทดสอบเป็นการตรวจสอบชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการที่สร้างขึ้นว่ามีความสอดคล้อง ตามแบบที่ได้ถ่ายทอดความคิดไว้หรือไม่ สามารถทำงานหรือใช้งานได้หรือไม่ มีข้อบกพร่องอย่างไร หากผลการทดสอบพบว่า ชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการไม่สอดคล้องตามแบบที่ถ่ายทอดความคิดไว้ ทำงานหรือใช้งานไม่ได้ หรือมีข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข จะต้องมีการบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลที่นำไปสู่การปฏิบัติงานในขั้นปรับปรุงแก้ไขต่อไป

ขั้นที่ 6 ปรับปรุงแก้ไข
     การปรับปรุงแก้ไข เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากขั้นทดสอบว่าควรปรับปรุงแก้ไขชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการในส่วนใด ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร แล้วจึงดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในส่วนนั้น จนกระทั่งชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการสอดคล้องตามแบบที่ถ่ายทอดความคิดไว้ ทำงานหรือใช้งานได้ ในขั้นตอนนี้อาจจำเป็นต้องกลับไปที่ขั้นตอนออกแบบและปฏิบัติการอีกครั้งเพื่อถ่ายทอดความคิดใหม่หรืออาจกลับไปขั้นตอนรวบรวมข้อมูลและเลือกวิธีการที่เหมาะสมอีกครั้งก็ได้ เพื่อให้ได้สิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการที่เหมาะสมมากขึ้น

ขั้นที่ 7 ประเมินผล
      การประเมินผล เป็นการนำชิ้นงานหรือวิธีการที่ได้สร้างขึ้นไปดำเนินการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่กำหนดไว้ในขั้นกำหนดปัญหาหรือความต้องการ และประเมินผลที่เกิดขึ้นว่าชิ้นงานหรือวิธีการนั้นสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ หากผลการประเมินพบว่า ชิ้นงานหรือวิธีการไม่สามารถแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการได้ ควรพิจารณาว่าจำเป็นต้องแก้ไขในขั้นตอนใด เพื่อนำไปปรับปรุงตามกระบวนการเทคโนโลยีอีกครั้ง เพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

     บางกิจกรรมอาจไม่ครบทั้ง 7 ขั้นตอนก็ได้ บางกิจกรรมขั้นตอนอาจสลับกันไปบ้างก็ได้แต่เมื่อนำไปใช้แล้ว นักเรียนรู้จักที่จะทำงานเป็นขั้นตอน เป็นระบบ ย้อนกลับมาดู หรือแก้ไขได้ตามขั้นตอนที่ทำไปได้